"ผุดสถานทูตสหรัฐยักษ์ในกรุงเทพฯ ไทยเป็นฐานสำคัญ?"
เว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยระบุว่า สหรัฐฯ ได้เริ่มก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ บนพื้นที่เดิมของสถานทูตด้วยงบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นสำนักงานกลางของหน่วยงานต่างๆ ที่เคยกระจายตัวอยู่รอบกรุงเทพฯ รวมถึงพัฒนาเป็นพื้นที่สำหรับการให้บริการด้านกงสุลและปฏิบัติการทางทูตอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้นมีการจ้างแรงงานชาวไทยกว่า 2,000 คนเพื่อโครงการนี้เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
สหรัฐฯ ย้ำว่า ฝ่ายตนยินดีกระชับความร่วมมือในทุกภาคส่วน ตั้งแต่การค้า ไปจนถึงการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ และการสาธารณสุข เพื่อยกให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในด้านการเงิน, สื่อ, โลจิสติกส์ และการคมนาคมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทางสหรัฐฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาคารใหม่ “จะเป็นสัญลักษณ์และศูนย์กลางของมิตรภาพระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในอนาคต”
สถานทูตแห่งนี้จะถูกใช้เป็นศูนย์กลางการดำเนินงานระดับภูมิภาคอาทิ การบริหารจัดการความช่วยเหลือด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ, การสนับสนุนการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัยทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, การประสานงานด้านบังคับใช้กฎหมายเพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ตลอดจนการระดมเงินทุนภาคเอกชนเพื่อช่วยแก้ไขความท้าทายด้านการพัฒนาที่สำคัญต่างๆ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน สหรัฐฯ ดำเนินโครงการก่อสร้างสถานกงสุลใหม่แห่งในเชียงใหม่ด้วยงบประมาณกว่า 8,800 ล้านบาท ในเดือนกันยายน เพื่อแสดงให้เห็นการพัฒนาความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย พร้อมเร่งกระชับความสัมพันธ์กับไทยในหลายแง่ อาทิ การมอบความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขผ่านการทยอยบริจาควัคซีนไฟเซอร์รวม 2.5 ล้านโดส และเงินช่วยเหลือราว 160 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2021 หลังเสียพื้นที่ “การทูตวัคซีน” ให้กับจีนในช่วงแรกของการแข่งขัน
การยกไทยเป็นศูนย์กลางที่เหมาะสมต่อการดำเนินกิจการด้านต่างๆ ในภูมิภาคอย่างเปิดเผย จะเป็นการส่งสัญญาณตรงไปยังสถานทูตจีน ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเขียนบทความวิจารณ์สหรัฐฯ กรณีการปกปิดที่มาของเชื้อไวรัสโควิด ว่าทางสหรัฐฯ พร้อมกลับเข้าสู่สังเวียนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง พร้อมกับเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือทุกมิติในรูปแบบทวิภาคี
ท้ายที่สุด ข้อความ “อาคารหลังใหม่นี้จะเป็นสัญลักษณ์และศูนย์กลางของมิตรภาพระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างยืนยาวในอนาคต” ของอุปทูตรักษาการแทนฯ ก็สื่อว่าทางสหรัฐต้องการกระชับความร่วมมือด้านต่างๆ กับประเทศไทยเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นมาตลอด 200 ปี พร้อมคาดหวังว่าอย่างน้อยทางการไทยจะสงวนท่าทีในฐานะพันธมิตรไม่ใช่ปฏิปักษ์ต่อนโยบายของสหรัฐฯ
ในแง่นี้ เสมือนเป็นการสะท้อนคำพูดของเอกอัครราชทูต “หาน จื้อเฉียง” ที่มีนัยยะคล้ายคลึงกัน ด้วยการกล่าวว่า “จีนไทยครอบครัวเดียวกัน" แสดงให้เห็นการขับเคี่ยวทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่เพิ่มขึ้นในไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ และเห็นได้ชัดว่าสหรัฐฯ มีความต้องการจะใช้ไทยเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของภูมิภาค คล้ายกับกรณีที่เกิดขึ้นในสงครามเย็น
...คงต้องติดตามว่าประเทศไทยจะสามารถแสวงประโยชน์การช่วงชิงพื้นที่ ระหว่างสองขั้วมหาอำนาจ ในพันธมิตร, เป้าหมาย และจุดยุทธศาสตร์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด?
::: แหล่งอ้างอิง :::
th (ดอต) usembassy (ดอต) gov/th/u-s-embassy-begins-construction-of-new-annex-th/
chinaembassy (ดอต) or (ดอต) th/th/sgxw/t1902866.htm
posttoday (ดอต) com/world/660277
prachachat (ดอต) net/local-economy/news-527559
Search